การละเล่นของไทยนั้นมีหลายชนิดซึ่งเป็นการละเล่นพื้นบ้งไทยซึ่งมีหลายชนิดเช่น เดินกะลา หมากเก็บ ว่าวพื้นบ้าน รีรีข้าวสาร เป็นต้น
การละเล่นพื้นบ้านมีมาตั้งแต่บรรพบุรุษเราทุกคนอาจเคยเล่นมาแล้วการละเล่นพื้นบ้านเป็นการละเล่นที่สนุกสนานและไม่เครียดและเป็นการละเล่นที่ได้ความรู้ เราควรอนุรักษ์ไว้เพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ศึกษาและการละเล่นพื้นบ้านก็จะไม่หายไปจากประเทศของเราเด็กๆในอดีตมีอิสระในการละเล่น สามารถสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ โดยคิดกฎกติกาได้เอง การละเล่นของเด็กไทยในอดีต ทั้งที่เล่นกลางแจ้ง และในร่ม โดยส่วนใหญ่เลียนแบบจากการทำงานและอาชีพของผู้ใหญ่ หรือคิดการละเล่นใหม่ๆ เพื่อแข่งขันในหมู่เพื่อนกันเองโดยเฉพาะการละเล่นของเด็กๆ หลายอย่างสามารถเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยที่เด็กรู้สึกเพลิดเพลิน สนุกสนาน ไม่เบื่อ วัสดุธรรมชาติอย่างเช่น ต้นกล้วย หลังจากนำใบตองมาห่อของแล้ว ก้านกล้วยก็สามารถนำมาประดิษฐ์เป็น ม้าก้านกล้วย ให้เด็กๆนำมาวิ่งเล่นได้ด้วย
ความเป็นมา
แต่ไหนแต่ไรมา คนไทยดำเนินชีวิตอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติแวดล้อม เมื่อยังเป็นทารกนอนเปล เด็กน้อยจะนอนดูพวงปลาตะเพียนที่สานด้วยใบลานย้อมสี เมื่อต้องแสงตะวัน เกล็ดปลาก็เป็นประกายวาววับ ลูกปลาตัวน้อยๆ แกว่งไกวตามแรงลม เด็กก็ จะยื่นมือไขว่คว้าอย่างเพลิดเพลิน เมื่อเด็กเติบโตขึ้น ผู้ใหญ่ให้นั่งเล่นอยู่บนบ้าน ไม่ออกไปไกลตาเกินกว่าจะดูแลได้ เด็กได้เล่นกับพี่น้องวัยเดียวกัน เปลี่ยนมือ เปลี่ยนจังหวะการตบ เรียกว่า เล่นตบแผละเด็กๆ ได้ฝึกคิดเปลี่ยนท่าต่างๆ ได้ฝึกการเคลื่อนไหวมือ แขนและสายตา ได้ยินเสียงและจังหวะที่เร้าใจ ใครพลาดดู ตามไม่ทันก็จะแพ้ ถ้ามีอุปกรณ์การเล่น เช่น เลิกเส้นเล็กๆ ขนาดยาวพอควรนำมาผูกเป็นวงแล้วใช้นิ้วคล้องไขว้เป็นรูปต่างๆ เด็กที่ฉลาดจะไขว้เส้นเชือกได้สวย คู่แข่งขันจะคลายวงออกไม่ได้ การเล่นไขว้เชือกช่วยให้เด็กได้ฝึกการ -คิด และพัฒนากล้ามเนื้อนิ้วมือ เมล็ดน้อยหน่า เมล็ดมะขาม เป็นของเล่นที่เด็กไทยสมัยก่อนชอบเล่น เด็กสองคนนั่งกับพื้นหันหน้าเข้าหากัน ขีดวงกลมเล็กๆ เอาเมล็ดน้อยหน่าทอดลงในวงกลมเอาใบไม้หรือกระดาษชิ้นเล็กๆ พันเป็นช้อน ตักเมล็ดน้อยหน่า หรือเมล็ดมะขามทีละ ๑ เมล็ด หรือทีละ ๒ หรือ ๓ เมล็ด แล้วแต่กติกา ใครตักได้หมดโดยไม่ไปเขี่ยเมล็ดอื่นๆ ให้เคลื่อนไหวเลย คนนั้นชนะการเล่นอย่างนี้เรียกว่า การเล่นอีกตัก เมื่อเด็ก ๆ ลงมาเล่นที่ลานบ้านหรือที่หาดทราย เด็กจะเล่นตี่จับต้องเต มอญซ่อนผ้า โพงพาง รีรีข้าวสาร เล่นขายของหรือหม้อข้าวหม้อแกง ชีวิตเด็กไทยจึงสนุกสนาน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใหญ่และเพื่อน พี่น้อง มีความอบอุ่นใจและได้ เรียนรู้กฎเกณฑ์ การอยู่ร่วมกัน คนไทยมีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอน การเล่นธรรมดาที่มีเพียงอุปกรณ์และวิธีการเล่นดูจะไม่สนุกเท่าที่ควร ผู้ใหญ่จึงคิดถ้อยคำ ร้อยกรองเป็นบทร้อง ท่วงท่ารำ จัดจังหวะการเดิน การเต้นให้งดงามยิ่งขึ้น การ เล่นจึงกลายเป็นการละเล่น ที่มีบทเจรจา บทร้องท่ารำเข้ามาประกอบ เช่น งูกินหาง แม่ศรี โยนชิงช้า กระอั้วแทงควายหรือกระตั้วแทงเสือเมื่อถึงเทศกาลต่างๆ มี การละเล่นรื่นเริงตามประเพณี เช่น เล่นสะบ้าในวันสงกรานต์ เล่นเพลง แห่ดอกไม้ เมื่อไปทำบุญที่วัด เล่นเพลงพิษฐาน เพลงเรือ เพลงลอยกระทง เพลงแห่นาค เป็นต้น บางครั้งมีการเล่นทายปัญหา ซึ่งเรียกว่าปริศนาคำทาย ถ้อยคำและปัญหาที่ทายส่วนใหญ่ฉายภาพชีวิตของคนไทย และสภาพธรรมชาติแวดล้อม
เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนไป ย่างเข้าฤดูร้อน ลมว่าวพัดแรง คนไทยก็จะเล่นว่าว ซึ่งมีศิลปะของการเล่นที่น่าสนใจมาก การเตะตะกร้อก็มีวิธีการและท่วงท่าที่น่าดู พอถึงเดินสิบสอง น้ำนองตลิ่ง การเล่นเพลงทั้งที่เป็นเพลงเรือ และการร้องรำบนฝั่งน้ำ ล้วนมีความไพเราะงดงามตามเอกลักษณ์ ของไทย ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนามาร่วมกันเกี่ยวข้าวอย่างสนุกสนาน จึงมีการรำเหย่อย เต้นกำรำเคียว เล่นเพลงเกี่ยวข้าว เป็นต้น การเล่นและการละเล่นของไทย จึงเป็นสมบัติทิพย์ทางวัฒนธรรมไทย ที่มีศิลปะทั้งทางด้านท่าทางเคลื่อนไหว วิธีการ รูปแบบ ชั้นเชิงการใช้ภาษา อารมณ์สนุก และความรักใคร่กลมเกลียวกับฉันท์พี่น้อง รูปแบบของการเล่นและการละเล่นของไทย อาจมีความแตกต่างกันบ้างตามลักษณะของท้องถิ่น และประเพณี สมควรที่เยาวชนทั้งหลายจะสนใจศึกษาเพื่อสามารถธำรงรักษาไว้สืบไป
ความหมาย
คำว่า "การเล่น" หมายถึง การกระทำเพื่อสนุกหรือผ่อนอารมณ์ ซึ่งตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า play หรือ game ซึ่งมีความหมายต่างกัน
คำว่า "play" มีผู้ให้ความหมายว่าเล่นสนุกเป็นการเล่นคนเดียวก็ได้ หลายคนก็ได้ เล่นโดยสมัครใจไม่มีใครบังคับ
คำว่า "game" มีผู้ให้ความหมายไว้มากมาย สรุปได้ว่าเป็นการเล่นที่มีกฎเกณฑ์บังคับผู้เล่นต้องเล่นตามกฎเกณฑ์นั้น การเล่นของไทยมีความหมายกว้างกว่าเพราะมีลักษณะร่วมอยู่ในความหมายของทั้งสองคำ คำว่า "การละเล่น" เป็นคำที่เกิดขึ้นใหม่ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทย บางท่านกล่าวว่าเป็นการปรับเสียงคำว่า "การเล่น" ให้ออกเสียงง่ายขึ้น ผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร ให้ความหมายกว้างออกไปถึงการเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ให้เกิดความรื่นเริงบันเทิงใจหลังจากประกอบกิจประจำวัน และการเล่นในเทศกาลท้องถิ่นหรือในงานมงคลบ้าง อวมงคลบ้าง เช่น เพลงพื้นเมือง ละคร ลิเก ลำตัด หุ่น หนังใหญ่ ฯลฯ ด้วยเหตุที่การละเล่นมีความหมายกว้างขวาง ดังกล่าว
การละเล่นของไทย หมายถึง การเล่นตั้งเดิมของเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อความบันเทิงใจทั้งนี้เป็นการเล่นที่มีกติกาหรือไม่มีกติกา ไม่มีบทร้องประกอบหรือมีบทร้องประกอบให้จัง-หวะ บางทีก็มีท่าเต้น ท่ารำประกอบ เพื่อให้งดงามและสนุกสนานยิ่งขึ้น ทั้งผู้เล่นและผู้ชมมีส่วนร่วมสนุก (ไม่ครอบคลุมไปถึงการละเล่นที่เป็นการแสดงให้ชมโดยแยกผู้เล่นและผู้ดูออ กจากกันด้วยการจำกัดเขตผู้ดู หรือการสร้างเวทีสำหรับผู้เล่น เป็นต้น)
ประโยชน์
การละเล่นของไทยเท่าที่ปรากฏเป็นหลักฐานก็ว่ามีมาแต่กรุงสุโขทัย แต่ที่ปรากฏในบทละครเรื่องมโนห์ราครั้งกรุงศรีอยุธยา คือ การเล่นว่าว ลิงชิงเสา ปลาลงอวน บทละ- ครเรื่องนี้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าแต่งก่อนสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ การละเล่นของไทยแต่เดิมมาและบางอย่างยังคงปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ หากมีการสืบทอดวิธีเล่นบางอย่างที่ดีงามนำมาปรับให้เข้ากับยุคสมัยก็จะเป็นประโยชน์ แก่สังคมไทย ไม่เฉพาะแต่การพัฒนาบุคคลเท่านั้น ยังช่วยพัฒนาสังคมอีกด้วย การละเล่นต่างๆ ย่อมจะแตกต่างกันไปตามวัยของบุคคลและตามสภาพท้องถิ่น การละเล่นบางอย่างไม่สามารถจะชี้ขาดลงไปได้ว่าเป็นการละเล่นของเด็กหรือของผู้ใหญ่ เช่น การเล่นว่าว การเล่นช่วงชัย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากวิธีการเล่นต่าง ๆ จะเห็นได้ ว่าการละเล่นของไทยมีคุณค่าในทางเสริมสร้างพลานามัย ประเทืองปัญญาช่วยให้อารมณ์แจ่มใส ฝึกจิตใจให้งดงามมีความสามัคคี และช่วยสร้างคนดีให้สังคม การละเล่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด การละเล่นทำให้มนุษย์ได้ผ่อนคลายความตึงเครียดจากงานในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้นยังเป็นการเสริมสร้างกำลังกายให้แข็งแรง ลับสมองให้มีสติปัญญาแหลมคม มีจิตใจเบิกบานสนุกสนานร่าเริง ทั้งยังทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ การละเล่นมีมาแต่สมัยใดไม่มีใครกำหนดแน่นอนได้เพียงแต่สันนิษฐานกันตามประวัติศาสตร์เท่านั้น